งานวิจัยในระยะสั้น (ไม่เกิน 2 ปี) พบว่า Ketogenic diet ช่วยในการลดน้ำหนักได้จริง แต่มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเช่น ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินปกติ อ่อนเพลีย คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง...
Ketogenic diet หรือ การกินแบบคีโต
ที่ฮิตในบ้านเรามาได้ระยะหนี่งแล้วนั้น เป็นเทรนด์การลดน้ำหนักที่โฟกัสไปที่ กินมันเต็มที่ กินโปรตีนตามชอบ แต่จำกัดคาร์โบไฮเดรต ด้วยหลักการคิดให้แคลอรี่โดยรวมที่ได้นั้น มาจากอาหารประเภทไขมัน 55-60% มาจากโปรตีน 30-35% และมาจากอาหารประเภทแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรตไม่เกินกว่า 5-10%
Ketogenic diet ไม่ได้ตั้งต้นมาจากการกินเพื่อลดน้ำหนัก
Ketogenic diet ไม่ได้ตั้งต้นมาจากการกินเพื่อลดน้ำหนัก แต่ตั้งต้นมาจากการกินเพื่อรักษาเด็กที่เป็นโรคลมชักตั้งแต่ปี ค.ศ. 1921 แต่หลังจากยารักษาโรคลมชักได้ถูกพัฒนาจนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไดเอทในแบบนี้ก็ถูกลดความสำคัญลง จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ที่ Ketogenic diet กลับมาโด่งดังอีกครั้งในบทบาทใหม่คือ การลดน้ำหนัก โดยมีจุดเด่นที่คนนิยมกันคือ สามารถกินอาหารมันๆได้ โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
ด้วยหลักการที่ว่า เมื่อเรารับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก จนกลูโคสไม่สามารถเป็นแหล่งพลังงานหลักที่เพียงพอให้กับร่างกาย จะเกิดภาวะที่เรียกว่า ‘Nutritional Ketosis’ ซึ่งร่างกายใช้ Ketone bodies เป็นแหล่งพลังงานหลักแทนกลูโคส ส่งผลให้การเก็บกักไขมันลดลง และเกิดการเผาผลาญที่มากขึ้น
งานวิจัยในระยะสั้น (ไม่เกิน 2 ปี) พบว่า Ketogenic diet ช่วยในการลดน้ำหนักได้จริง แต่มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเช่น ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินปกติ อ่อนเพลีย คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคไต มีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียงมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนทดลองไดเอทแบบนี้
งานวิจัยในระยะยาว (สำหรับเรื่องลดน้ำหนัก) ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าไม่มีผลข้างเคียง Ketogenic diet จึงยังไม่จัดเป็นแนวทางการกินเพื่อลดน้ำหนักที่เป็นมาตรฐานค่ะ
พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง)
Suggested Reading:
Masood W, Uppaluri KR. Ketogenic Diet. [Updated 2019 Mar 21]. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2019 Jan-. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK499830/